
ใครว่าประเทศ (Country) ที่รวยที่สุดในโลกต้องมีขนาดใหญ่? บทความนี้จะพาคุณไปพบกับ 5 ประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แม้หลายประเทศจะมีขนาดเล็กจิ๋ว แต่ความมั่งคั่งของพวกเขากลับยิ่งใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ! แม้จะเผชิญกับวิกฤตโรคระบาด เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของพวกเขาก็แทบไม่สั่นคลอน
มาดูกันว่า 5 ประเทศ (Country) ที่รวยที่สุดในโลกจะมีประเทศใดบ้าง และอะไรคือเคล็ดลับความสำเร็จของพวกเขา? หมายเหตุ การจัดอันดับนี้พิจารณาจากกำลังซื้อต่อหัวต่อปี (PPP) ซึ่งสะท้อนถึงค่าครองชีพที่แท้จริงของประชากรในแต่ละประเทศ
มาดู 5 ประเทศ (Country) ที่รวยที่สุดในโลก บางประเทศเล็ก แต่ทำไมรวยไม่เบา

อันดับที่ 1 ประเทศ ลักเซมเบิร์ก (Luxembourg)
กำลังซื้อต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 143,743 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 4,887,261.12 บาทต่อปี และราว 407,271 บาทต่อเดือน
- ลักเซมเบิร์กเป็นที่รู้จักในด้านปราสาทอันงดงาม ทัศนียภาพชนบทที่สวยงาม เทศกาลทางวัฒนธรรม และอาหารท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ ยังเป็นที่ตั้งของธนาคารต่างประเทศหลายแห่งที่ให้บริการเปิดบัญชีแก่ชาวต่างชาติ อย่างไรก็ดี การเยือนลักเซมเบิร์กเพียงเพื่อธุรกรรมทางการเงินคงเป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้ ตั้งอยู่ใจกลางทวีปยุโรป และมีประชากรประมาณ 670,000 คน มีสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจมากมาย รัฐบาลลักเซมเบิร์กให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยทุ่มงบประมาณจำนวนมากในการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระบบสาธารณสุข และการศึกษา ส่งผลให้ประชาชนมีมาตรฐานการครองชีพสูงที่สุดในกลุ่มประเทศยูโรโซน
- แม้ว่าวิกฤตการณ์ทางการเงินโลกและแรงกดดันจากสหภาพยุโรปและองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ในการลดความลับทางการเงินจะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของลักเซมเบิร์กมากนัก แต่การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ก็ส่งผลกระทบต่อธุรกิจและการจ้างงานในประเทศ อย่างไรก็ตาม ลักเซมเบิร์กสามารถฟื้นตัวจากวิกฤตนี้ได้ดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ในยุโรป โดยเศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวจากการเติบโตติดลบ 0.9% ในปี 2020 เป็นการเติบโตมากกว่า 7% ในปี 2021
- ด้านการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของลักเซมเบิร์กไม่ยั่งยืนนัก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น สงครามในยูเครน และภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในยูโรโซน ทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตเพียง 1.3% ในปี 2022 และหดตัว 1% ในปี 2023 แม้ว่าจะมีการคาดการณ์ว่าจะเติบโต 1.2% ในปีนี้ ถึงกระนั้น การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอาจไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับลักเซมเบิร์ก เนื่องจากประเทศยังคงมีมาตรฐานการครองชีพที่สูงมาก โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวของลักเซมเบิร์กทะลุ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2014 และยังคงรักษาระดับดังกล่าวไว้ได้อย่างต่อเนื่อง
อันดับที่ 2 ประเทศ มาเก๊า (Macao SAR)
กำลังซื้อต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 134,141 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 4,560,793.18 บาทต่อปี และราว 380,066 บาทต่อเดือน
- เมื่อไม่นานมานี้ หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า “ลาสเวกัสแห่งเอเชีย” แห่งนี้กำลังก้าวสู่การเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคบางประการก็ตาม มาเก๊า เดิมทีเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส อุตสาหกรรมการพนันในเขตบริหารพิเศษของสาธารณรัฐประชาชนจีนแห่งนี้ได้รับการเปิดเสรีในปี 2001 และความมั่งคั่งก็เติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยประชากรประมาณ 700,000 คน และคาสิโนมากกว่า 40 แห่งกระจายอยู่บนพื้นที่ประมาณ 30 ตารางกิโลเมตร คาบสมุทรแคบ ๆ ทางตอนใต้ของฮ่องกงแห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญ
- อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 การเดินทางทั่วโลกหยุดชะงัก และมาเก๊าก็หลุดจาก 10 อันดับประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในช่วงเวลาหนึ่ง ตั้งแต่นั้นมา มาเก๊าก็กลับมาดำเนินธุรกิจได้อีกครั้ง กำลังซื้อต่อหัวของประชากรอยู่ที่ประมาณ 125,000 ดอลลาร์ในปี 2019 และปัจจุบันก็สูงยิ่งกว่านั้น สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
อันดับที่ 3 ประเทศ ไอร์แลนด์ (Ireland)
กำลังซื้อต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 133,895 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 4,552,429.18 บาทต่อปี และราว 379,369 บาทต่อเดือน
- สาธารณรัฐไอร์แลนด์ มีประชากรประมาณ 5.3 ล้านคน ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤตการณ์ทางการเงินในช่วงปี 2008-2009 หลังจากการดำเนินมาตรการปฏิรูปที่ท้าทายทางการเมือง เช่น การปรับลดงบประมาณค่าจ้างภาครัฐและการปรับโครงสร้างภาคธนาคาร ไอร์แลนด์ก็สามารถฟื้นฟูเสถียรภาพทางการคลัง กระตุ้นอัตราการจ้างงาน และมีอัตราการเติบโตของ GDP ต่อหัวที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- ไอร์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่มีนโยบายภาษีที่เอื้อต่อบริษัทข้ามชาติมากที่สุดในโลก ซึ่งส่งผลประโยชน์ต่อบริษัทข้ามชาติมากกว่าประชาชนชาวไอริชโดยทั่วไป ในช่วงกลางทศวรรษ 2010 บริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ หลายแห่ง อาทิ Apple, Google, Microsoft, Meta และ Pfizer ได้ย้ายฐานภาษีไปยังไอร์แลนด์เพื่อใช้ประโยชน์จากอัตราภาษีนิติบุคคลที่ต่ำเพียง 12.5% ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราที่น่าดึงดูดที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ในปี 2023 บริษัทข้ามชาติเหล่านี้มีส่วนร่วมในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของไอร์แลนด์รวมกันมากกว่า 50% หากไอร์แลนด์ปรับใช้อัตราภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำ 15% ตามที่ OECD เสนอและหลายประเทศได้นำไปปฏิบัติแล้ว ก็อาจส่งผลให้ไอร์แลนด์สูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขัน
- แม้ว่าครัวเรือนชาวไอริชจะมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่รายได้สุทธิต่อหัวของครัวเรือนยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของสหภาพยุโรปโดยรวมเล็กน้อย ตามข้อมูลจาก OECD ด้วยช่องว่างระหว่างกลุ่มประชากรที่มีรายได้สูงสุดและต่ำสุดที่ยังคงมีอยู่ (กลุ่มประชากร 20% แรกมีรายได้เกือบห้าเท่าของกลุ่มประชากร 20% สุดท้าย) ชาวไอริชส่วนใหญ่อาจไม่เห็นด้วยกับข้อสรุปที่ว่าพวกเขาอยู่ในกลุ่มคนร่ำรวยที่สุดในโลก
อันดับที่ 4 ประเทศ สิงคโปร์ (Singapore)
กำลังซื้อต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 133,737 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 4,547,057.18 บาทต่อปี และราว 378,921 บาทต่อเดือน
- นายเอ็ดวาร์โด ซาเวริน ผู้ร่วมก่อตั้งเฟซบุ๊กชาวอเมริกัน ถือเป็นบุคคลผู้มั่งคั่งที่สุดในสิงคโปร์ ด้วยทรัพย์สินมูลค่ารวมกว่า 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปี 2011 เขาตัดสินใจละทิ้งสัญชาติอเมริกันพร้อมกับหุ้นบริษัทจำนวน 53 ล้านหุ้น และได้สถานะผู้พำนักถาวรของ
- สิงคโปร์ เช่นเดียวกับมหาเศรษฐีและนักลงทุนรายอื่น ๆ การตัดสินใจครั้งนี้ของซาเวรินไม่ได้มีเพียงแค่แรงดึงดูดจากความเจริญและธรรมชาติของประเทศ แต่สิงคโปร์ยังเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่น่าสนใจ ด้วยนโยบายยกเว้นภาษีกำไรจากการลงทุนและเงินปันผล
- สิงคโปร์มีกลยุทธ์อย่างไรในการดึงดูดบุคคลที่มีสินทรัพย์สูงเหล่านี้? ย้อนกลับไปในปี 1965 ขณะที่สิงคโปร์เพิ่งได้รับเอกราช ประชากรกว่าครึ่งหนึ่งยังไม่รู้หนังสือ ด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่จำกัด สิงคโปร์จึงมุ่งมั่นพัฒนาตนเองด้วยการทำงานอย่างหนักและนโยบายที่ชาญฉลาด จนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในประเทศที่เอื้อต่อการลงทุนและทำธุรกิจมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ปัจจุบัน สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการค้า การผลิต และการเงินที่สำคัญ และอัตราการรู้หนังสือของประชากรวัยผู้ใหญ่สูงถึง 98%
- อย่างไรก็ตาม สิงคโปร์ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดใหญ่ได้ ในปี 2020 เศรษฐกิจของประเทศหดตัวลง 3.9% นับเป็นครั้งแรกในรอบกว่าทศวรรษที่สิงคโปร์ต้องเผชิญกับภาวะถดถอย แม้ในปี 2021 เศรษฐกิจจะฟื้นตัวด้วยอัตราการเติบโตที่ 8.8% แต่การชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าหลัก ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ฉุดรั้งการฟื้นตัว ปัญหาทางเศรษฐกิจของจีนส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการผลิตของสิงคโปร์ ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 20% ของ GDP โดยรวม ในปี 2023 เศรษฐกิจขยายตัวเพียง 1% และคาดการณ์ว่าจะเติบโตไม่เกิน 2% ในปี 2024 และ 2025
อันดับที่ 5 ประเทศ กาตาร์ (Qatar)
กำลังซื้อต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 112,283 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 3,817,621.32 บาทต่อปี และราว 318,135 บาทต่อเดือน
- แม้ว่าราคาจะเริ่มฟื้นตัวบ้างแล้ว แต่ราคาน้ำมันโดยเฉลี่ยก็ยังคงลดลงตั้งแต่กลางทศวรรษ 2010 ในปี 2014 รายได้ต่อหัวของชาวกาตาร์สูงถึง 5,170,000 บาท แต่เพียงปีเดียวหลังจากนั้น รายได้ก็ลดลงฮวบฮาบ และยังคงต่ำกว่า 3,600,000 บาท เป็นเวลาถึง 5 ปี อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้ก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทีละประมาณ 360,000 บาทในแต่ละปี แต่ถึงกระนั้น ด้วยปริมาณสำรองน้ำมัน ก๊าซ และปิโตรเคมีที่มหาศาล ประกอบกับจำนวนประชากรที่น้อยนิด เพียง 3 ล้านคน ทำให้ดินแดนแห่งสถาปัตยกรรมล้ำยุค ห้างสรรพสินค้าหรูหรา และอาหารเลิศรสแห่งนี้ ยังคงสามารถครองตำแหน่งประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกมาได้นานถึง 20 ปี
- แต่ในช่วงแรกของการระบาดของโควิด-19 มีเพียงประมาณ 12% ของประชากรในประเทศที่เป็นชาวกาตาร์ ทำให้เกิดการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในหมู่แรงงานข้ามชาติที่มีรายได้น้อย ซึ่งอาศัยอยู่ในที่พักแออัด ส่งผลให้กาตาร์มีอัตราผู้ติดเชื้อสูงที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค จากนั้น ราคาน้ำมันที่ลดลงก็ส่งผลให้รายได้ของรัฐบาลและภาคเอกชนลดลงตามไปด้วย ในฐานะประเทศที่มีเศรษฐกิจที่เน้นการส่งออก กาตาร์ยังได้รับผลกระทบจากการหยุดชะงักของการค้าโลกที่เกิดจากสงครามในยูเครน ต่อมา ความขัดแย้งในฉนวนกาซาก็จุดประกายความหวาดกลัวและความไม่แน่นอนครั้งใหม่ทั่วตะวันออกกลาง ถึงกระนั้น จนถึงขณะนี้ เศรษฐกิจของกาตาร์ก็ยังคงแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่น คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตประมาณ 2% ในปี 2024 และ 2025