
ยุคหนึ่ง “ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์” ในประเทศไทย มีความหวานหอม ไม่ต่างจาก “ขนม” ด้วยภาวะ สร้างง่าย – ขายคล่อง ได้ชักชวน ให้ดีเวลลอปเปอร์หน้าใหม่ๆ กระโดดเข้ามาในวงการไม่ขาดสาย
เศรษฐกิจคึกคัก การขยายของเมือง ระบบสาธารณูปโภคก้าวหน้า และ ด้วยความเข้าใจที่ว่า “บ้าน” หรือ “ที่อยู่อาศัย” เป็นปัจจัย 4 อย่างไรเสีย ก็มีดีมานด์ความต้องการของ “ผู้คน”
เป็นโอกาส ให้ไล่ซื้อที่ดิน จัดสรร เพื่อพัฒนาเป็นหมู่บ้านหลายระดับราคา เพื่อขาย หรือ ก่อสร้างตึกสูง คอนโดมิเนียม หยิบคว้าโอกาส การขาย ให้กับผู้ซื้อที่กว้างขึ้น ทั้ง คนไทย, นักลงทุน และ ผู้ซื้อชาวต่างชาติ ยิ่งทำเลไหนใกล้สถานีรถไฟฟ้า ก็ยิ่งทำให้ สามารถปิดการขายได้เร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม นักพัฒนาที่เคยเข้าไปในวงการ หลายคนต่างรู้ดี และเข็ดหลาบ ว่า “ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์” อาจไม่ง่าย อย่างที่คิด เพราะหากมีแต่ทุน หรือ ที่ดิน แต่ไร้ “โนว์ฮาว” ก็พาให้ล้มเหลวกันมานักต่อนักแล้ว
ก็เพราะด้วยความซับซ้อนของกฎหมายการพัฒนาที่ดิน, ต้นทุนแรงงาน-ก่อสร้าง ที่มีแต่จะเพิ่มขึ้น เรื่อยไปจนถึง เกมการตลาด, ความหลากหลายของผู้ซื้อ, การขึ้น-ลง ของภาวะเศรษฐกิจ ก็ล้วนมีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจแทบทั้งสิ้น ยิ่งสถานการณ์ของตลาดอสังหาฯ ในปัจจุบัน ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย ใครยังยืนอยู่ได้ ถือว่า “เก่ง” ไม่น้อย
นี่เลยทำให้ เหลือ “ผู้เล่นตัวจริง” ในตลาดนี้ ไม่มากนัก และ 80% ของมูลค่าตลาด ราว 4-4.5 แสนล้านบาท (ทำเล กทม.-ปริมณฑล) ต่อปี ตกอยู่ในมือของผู้พัฒนารายใหญ่ๆ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แทบทั้งสิ้น
โดยต้องยอมรับว่า บริษัทเหล่านี้ มีความสามารถในการบริหารต้นทุนได้ดีกว่ารายเล็กๆ และ ยังมีประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจ ทำให้ได้รับความเชื่อถือจาก ธนาคารผู้ปล่อยกู้ และ ผู้ซื้อมากกว่าบริษัทอื่นๆ
โอกาสนี้ ชวนทำความรู้จัก กับ 5 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ยักษ์ใหญ่ระดับตำนานของเมืองไทย ที่มีประวัติความเป็นมา ไม่ธรรมดา และเคยผ่านร้อนผ่านหนาว มาตั้งแต่ ยุคต้มยำกุ้ง ปี 2540 แต่พบ ยังคงรักษา ธุรกิจ ให้อยู่ยงคงกระพันได้จนถึงปัจจุบัน อีกทั้ง ได้บ่มเพาะอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ ของตัวเองด้วยพอร์ตหมื่นล้าน สร้างบริษัทในเครือมากมาย ขณะ CEO บางคน ความร่ำรวยนั้น ยังส่งให้ติด Top เป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของประเทศไทย อีกด้วย
ชวนทำความรู้จัก กับ 5 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ยักษ์ใหญ่ระดับตำนานของเมืองไทย
1. แสนสิริ กับ เส้นทาง 39 ปี ในตำแหน่ง N0.1
มีใครรู้หรือไม่? บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เริ่มแรกเดิม ชื่อ แสนสำราญ จำกัด โดยได้เข้ามาในวงการอสังหาฯ ไทยเมื่อปี 2531 พัฒนาโครงการแรก ที่ชื่อ โครงการบ้านไข่มุก คอนโดมิเนียมริมหาด ระดับตำนานของหัวหิน ที่เศรษฐีในยุคนั้น ต่างอยากครอบครองเป็นเจ้าของ ด้วยราคาต่อยูนิต 7 ล้านบาท มูลค่าต้นทุนโครงการ 250 ล้านบาท ขณะปัจจุบัน โครงการแฟล็กชิปดังกล่าว มีการขายเปลี่ยนมือแพงสุด จาก 7 ล้านบาท เป็น 80 ล้านบาท!!
2. เอพี ไทยแลนด์ เจ้าตลาด เปิดโครงการมากสุด
จาก เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ สู่ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ที่ก่อตั้งเมื่อ ช่วงปี 2534 โดย อนุพงษ์ อัศวโภคิน ปัจจุบัน อสังหาฯ ระดับตำนาน เจ้านี้ มีแบรนด์โครงการบ้านและคอนโดฯ เป็นที่คุ้นชื่อมากมาย ตั้งแต่ บ้านกลางกรุง, บ้านกลางเมือง, THE CITY, CENTRO, HYTHM, LIFE และ ASPIRE ฯล
ขณะในปี 2566 เอพี มีแผนธุรกิจที่ดุดันสวนตลาด ขึ้นแท่นเป็น บริษัทที่มีจำนวนโครงการเปิดใหม่ สูงสุดในอุตสาหกรรม รวม 58 โครงการ มูลค่าถึง 77,000 ล้านบาท ทั้งใน กทม. และ ต่างจังหวัด ที่รุกเข้าไปเจาะมากขึ้น ด้วยความเชื่อมั่นของผู้บริหาร ที่กล่าวไว้ว่า “ถ้าไม่แน่ ก็คงไม่กล้า” โดย 6 เดือนแรกของปี เอพี ทำผลงาน ด้วยตัวเลข กำไรสุทธิ ที่ 3,022 ล้านบาท
3. พฤกษา อสังหาฯ ใจบุญ ช่วยคนไทยมี “บ้าน”
บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง (พฤกษา เรียลเอสเตท) ก่อตั้งขึ้นด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มแรก แค่ 50 ล้านบาทเท่านั้น ก่อนแปรสภาพ เป็น บริษัทมหาชน ช่วงปี 2548 ภายใต้การบริหารของ “ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์” กับ ฉายา เจ้าพ่ออสังหาฯ เศรษฐีหุ้น
“บ้านพฤกษา” เป็นที่รู้จักกันดี ของกลุ่มคนเริ่มแรกอยากมีบ้าน ด้วยราคาที่ถูก เข้าถึงได้ ซึ่งโครงการแรก อย่าง “บ้านพฤกษา 1” ย่านรังสิต คลอง 8 ก็สร้างปรากฏการณ์ ปิดการขายแค่ในเดือนเศษ ก่อเกิด บ้านพฤกษา นับหลักร้อยโครงการ ออกสู่ตลาด จนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ด้วย กลุ่มผู้ซื้อระดับล่าง เปราะบางจากสภาพเศรษฐกิจ ทำให้ช่วงหลังๆ พฤกษา เปลี่ยนทิศทางการพัฒนาบ้าน มาสู่ระดับกลาง และ ระดับบนมากขึ้น รวมถึง ในกลุ่มคอนโดฯ ไฮเอนด์ อย่าง เดอะ รีเซิร์ฟ ด้วย
4. ศุภาลัย คัมภีร์ขายบ้าน ฉบับ “ประทีป มติธรรม”
ศุภาลัย หรือ คำเรียกติดตลก ว่า “ป้าศุ” ที่คนรุ่นใหม่ อาจไม่คุ้นชิน กับแบรนด์อสังหาฯ นี้มากนัก แต่รู้หรือไม่ ปีที่แล้ว บมจ.ศุภาลัย สามารถทำรายได้รวมกัน มากกว่า 3.55 หมื่นล้านบาท และ ครองตำแหน่ง อันดับ 1 คว้ากำไรสูงสุดในอุตสาหกรรม ที่ 8,173 ล้านบาท
แหล่งรวม ทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านที่อยู่อาศัยมากที่สุดบริษัทหนึ่ง โดยมีภาพจดจำในตราสินค้า ที่จะใช้ชื่อ “ศุภาลัย” เป็นชื่อนำหน้าทุกๆ โครงการ และมี “ประทีป ตั้งมติธรรม” บริหารตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท มาจนถึงปัจจุบัน แต่ลูกชายคนเก่ง “ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม” เป็นผู้วางกลยุทธ์ตามแบบฉบับพ่อ จุดเด่นของศุภาลัย หากแต่เป็น การเติบโตอย่างยั่งยืน และรูปลักษณ์บ้านที่เป็นเอกลักษณ์ มีมาตรฐาน คุ้มค่า ทำให้ยังได้รับความสนใจ จากกลุ่มผู้ซื้อใหญ่ในตลาด
5. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เจ้าตลาด “บ้านหรู” ที่โค่นไม่ลง
Land & Houses “บ้านหรู สวยทุกหลัง ได้ของ เหมือนที่ตาเห็น” คงเป็นภาพจำ หากจะกล่าวถึงอสังหาฯ เจ้านี้ เพราะไม่ว่าจะ บริษัทไหนๆ จะเข้ามาตีตลาด บ้านหรูระดับบน แต่บริษัทที่ครองใจ และติด Top of Mind ในใจผู้บริโภค ก็ยังมีชื่อของ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ อยู่ทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็น โครงการบ้าน นันทวัน, โครงการบ้าน มัณฑนา และ โครงการบ้าน ลดาวัลย์ แม้บริษัทนี้จะเปิดมานานแล้วกว่า 50 ปี อีกทั้งต่อปี มีการแถลงข่าวโปรโมต เพียงปีละครั้งเท่านั้น
โดย Land & Houses เคยถูกเทียบภาพลักษณ์ กับแบรนด์รถ ว่าเสมือนเป็น รถ Mercedes-Benz เพราะ มีภาพลักษณ์ ที่คนทั่วไป รู้สึกถึง ความมั่นคง มีฐานะ ดูน่าเชื่อถือและไว้วางใจในคุณภาพ ขณะเดียวกัน แค่พูดถึง ก็สัมผัสได้ถึงความหรูหรา นี่จึงเป็นคำตอบ ว่าทำไม อสังหาฯ รายนี้ จึงอยู่ในวงการได้ โดยไม่ต้องลงมากระโดดแข่งขันกับใครให้เปลืองตัว
และนี่ก็คือเรื่องราวความน่าสนใจ โดยย่อ ของ 5 บริษัทอสังหาฯ เมืองไทย ที่มีตำนานให้จดจำ และน่าจับตาดู ถึงก้าวย่างต่อๆ ไป ในอนาคต
ขอบคุณข้อมูล : Thairath Money
อ่านบทความเพิ่มเติม : RANKING5