5 อันดับแนวโน้มการดำเนินธุรกิจในอนาคต Industry’s Trend

จากงาน Kick-off งานวิจัยที่ท้าทายประเทศไทยของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ หรือ Future Thailand ในมิติเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการ และอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบมิติของงานวิจัยนี้ ได้มีการกล่าวถึง 5 แนวโน้มหลักที่จะมาปรับโฉมการดำเนินธุรกิจ เข้ามาปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมและรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต โดยทางทีมวิจัยได้มีการรวบรวมเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในมุมมองต่าง ๆ ครอบคลุมด้านสังคม เทคโนโลยี เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม กติกาโลก ระเบียบการค้า การเมือง เพื่อค้นหาสาเหตุหรือแรงขับเคลื่อน (Driver) ที่จะมาผลักดันให้เกิดแนวโน้มหลักที่จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งข้อมูลนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งหากผู้ประกอบการได้นำมาวิเคราะห์และกำหนดไว้เป็นส่วนหนึ่งของแผนกลยุทธ์องค์กรเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจในอนาคต โดยทั้ง 5 แนวโน้มการดำเนินธุรกิจในอนาคต (5 Industry’s Mega Trend) มีดังต่อไปนี้
5 Mega Industry’s แนวโน้มทางธุรกิจในอนาคต

แนวโน้มที่ 1 : ธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Neo-Ecological Business)
สาเหตุหรือแรงขับเคลื่อนที่ทำให้เกิดแนวโน้มนี้มาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ความรุนแรงของการเกิดมลพิษต่าง ๆ (Pollution) ทำให้เกิดความตระหนักของผู้บริโภค (Consumer Awareness) ที่ในอนาคตจะมีน้ำหนักมากขึ้นจากเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมและมีให้เห็นกันอย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น พายุถล่มที่ปากีสถานและอัฟกานิสถาน จำนวนสัตว์ที่เสียชีวิตจากไฟป่าที่ออสเตรเลีย 1 พันล้านตัว กติกาโลก นโยบายของโลกที่อาจจะไม่เข้มข้นบังคับขนาดเป็นระเบียบการค้าโลก (Global Policy) แต่ก็ทำให้ธุรกิจต้องมองความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่งของ Product Life Cycle และที่สำคัญจะต้องสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ มีการเริ่มมองความเป็นไปได้ในการใช้วัตถุดิบชีวภาพ การใช้เทคโนโลยีสะอาด การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากกระบวนการผลิต (Decarbonization) รวมถึงการให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการของเสียและการนำกลับมาใช้ใหม่มากขึ้นจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
แนวโน้มที่ 2 : การดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม (Ethical Business Operation)
สาเหตุหรือแรงขับเคลื่อนที่ทำให้เกิดแนวโน้มนี้มาจากสังคมต้องการความมั่นใจว่าสินค้าและบริการที่จะซื้อหานั้นมีความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภค (Social Trust) ไม่ผ่านเอารัดเอาเปรียบ (Fairness) ทุกรูปแบบ มาจากการดำเนินธุรกิจที่มีจริยธรรม (Good Governance) และตรวจสอบได้ (Transparency) หากแนวโน้มนี้เป็นการเรียกร้องจากผู้บริโภคโดยตรงจะยิ่งเป็นปฏิกิริยาเร่งให้ผู้ประกอบการมีการแสดงออกและเรียกร้องถึงการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรมที่เข้มแข็งมากขึ้น
แนวโน้มที่ 3 : รูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบดิจิทัล (XaaS)
สาเหตุหรือแรงขับเคลื่อนที่ทำให้เกิดแนวโน้มนี้มาจากความสามารถของ Quantum Computing ที่ประมวลผลเร็วกว่าคอมพิวเตอร์ที่เราใช้ในปัจจุบัน 100 ล้านเท่า (Computing Power) เทคโนโลยีการสื่อสาร 5 G (Communication Technology) ที่จะเข้ามาบริหารจัดการ IoT อย่างมีประสิทธิภาพเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับ Advanced Machine Learning ที่เพิ่มศักยภาพให้ IoT ในอุตสาหกรรม (Industrial IoT) รวมถึงความกังวลในเรื่องของการขาดแคลนทรัพยากร (Resource Scarcity) ที่ทำให้เกิดรูปแบบการดำเนินธุรกิจใหม่ที่เรียกว่า Everything as a Service ที่สามารถขายผลิตภัณฑ์จากความฉลาดของบริการแบบดิจิทัลและสามารถสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับลูกค้า มีการประมาณการจากนักพัฒนาระบบเครือข่าย (Network Developer) ว่ามูลค่าของแพลตฟอร์มรูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบดิจิทัล (XaaS) นี้จะมีมูลค่าสูงถึง 46 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2030 หรืออีก 10 ปีต่อจากนี้
แนวโน้มที่ 4 : ช่องทางการให้บริการแบบดิจิทัล (Digital Touchpoint)
สาเหตุหรือแรงขับเคลื่อนที่ทำให้เกิดแนวโน้มนี้มาจากความเป็นปัจเจกชนของผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าเฉพาะตนและมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น (Individualization) ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทำให้การเข้าถึงข้อมูลลูกค้าเชิงลึกจาก On-line Platform ในรูปแบบต่าง ๆ เป็นเรื่องง่าย ทำให้ธุรกิจมีข้อมูลมากพอในการวิเคราะห์เพื่อออกแบบสินค้าและบริการที่ตรงความคาดหมายของผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว (Customer Insight) ธุรกิจจะต้องค้นหาความต้องการในการหาตลาดใหม่ การสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ (New Experiences) รวมถึงช่องทางการเข้าถึงสินค้าและบริการโดยปราศจากข้อจำกัดในเรื่องของเวลาและสถานที่ (Accessibility) ทำให้ผู้ประกอบการสามารถติดต่อลูกค้าและขายสินค้าและบริการได้ตลอดเวลา โดยผู้นำทางด้านเทคโนโลยีโลกมีการคาดการณ์ว่า ภายในปี 2021 หรืออีก 2 ปีข้างหน้า ช่องทางการให้บริการแบบดิจิทัลนี้จะสร้างรูปแบบการดำเนินธุรกิจใหม่ ๆ เป็นจำนวนมาก
แนวโน้มที่ 5 : การเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานโลก (Micro Supply Chain)
สาเหตุหรือแรงขับเคลื่อนที่ทำให้เกิดแนวโน้มนี้มาจากความก้าวหน้าของเครือข่ายดิจิทัล (Digital Network) ที่ทำให้การสื่อสารและการขนส่งทั่วโลกไร้รอยต่อ (Borderless Logistics) รวมถึงความพยายามในการใช้ทรัพยากรอย่างเกิดประโยชน์สูงสุด (Resource Utilization) ทำให้เกิดรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่สามารถจัดหาสิ่งต่าง ๆ ที่ต้องการไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือปริมาณเท่าใดบนโลกใบนี้ได้โดยง่าย การผลิตในอนาคตจะสามารถปรับเปลี่ยนสายการผลิตได้อย่างรวดเร็วตามความต้องการของลูกค้าและสามารถผลิต small lot และสามารถหาวัตถุดิบได้จากซัพพลายเออร์ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่จะมาขัดขวางการเกิดรูปแบบการดำเนินธุรกิจนี้คือการที่ระบบขนส่งเติบโตไม่ทันกับความก้าวหน้าของเครือข่ายดิจิทัล