5 อันดับเทรนด์เทคโนโลยีแห่งศตวรรษที่ 21 Future technology
เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา World Economic Forum ได้มีการจัดลำดับ Top 5 เทรนด์เทคโนโลยีที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกในศตวรรษที่ 21 Future technology ของเราในอนาคตอันใกล้ ต้นปี 2025 นี้ เรามาดูกันว่า 5 เทรนด์เทคโนโลยีมาแรงเหล่านี้ จะมีอะไรบ้าง
มาดู 5 เทรนด์เทคโนโลยีแห่งอนาคต ของโลกศตวรรษที่ 21 Future technology
1. Microneedles สำหรับการฉีดยาและการทดสอบที่ไม่เจ็บปวด
หากคุณลองจินตนาการถึงเข็มการพัฒนาของ Microneedles จะช่วยลดความเจ็บของการฉีดยาได้ และนอกจากนั้นยังสามารถส่งเสริม personalized medicine ด้วยการใช้ wireless communication ผ่าน microneedles ได้อีกด้วย แต่ที่สำคัญที่สุดนั้นคือการที่ microneedles จะเป็นนวัตกรรมที่เข้ามาช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการแพทย์ การที่เข็มฉีดยามีขนาดเล็กลงนั้น จะทำให้ผู้คนในเขตห่างไกลสามารถเข้าถึงการใช้ได้มากขึ้น เนื่องจากสามารถที่จะฉีดเองได้ หรือเก็บ blood sample เองได้แม้จะไม่มีแพทย์อยู่ในเขตนั้น ๆ ก็ตาม
ตัวอย่างนวัตกรรมที่ได้เกิดขึ้นแล้ว:
- TAP Blood Collection Device by Seventh Sense Biosystems: เป็นนวัตกรรม microneedles ที่ทำให้ผู้ป่วยสามารถเจาะเลือดเองได้จากที่บ้าน โดยไม่ต้องเสียเวลามาที่โรงพยาบาล
ดังนั้นนวัตกรรม microneedles นี้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในวงการสารธารณสุขไทยและต่างประเทศ ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของแพทย์ และขยายการรักษาไปในพื้นที่ขาดแคลน
2. Sun-Powered Chemistry
Sun-Powered Chemistry คือ การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการ convert unwanted gas (เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์) เป็น raw materials ผ่านการใช้ photocatalysts ซึ่งนวัตกรรมนี้สามารถนำไปใช้ได้ทั้งในทาง การแพทย์, อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด, ปุ๋ย หรือ นวัตกรรมสิ่งทอ
โดยวิธีการที่นักวิทยาศาสตร์กำลังทดลองทำนั้น คือการใช้ photocatalysts ที่สามารถ break bond ระหว่าง carbon กับ oxygen ได้ เพื่อลดประมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง แต่อย่างไรก็ตาม challenge หลัก ๆ ของการพัฒนานวัตกรรมนี้นั้น คือการค้นหา catalysts ที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้พลังงานแสงอาทิตย์
เมื่อสามารถพัฒนานวัตกรรมนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วจะสามารถทำให้เราลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกและทำให้โลกของเรามีสภาพแวดล้อมที่ดีมากขึ้นได้อย่างแน่นอน
3. การจำลองการรักษาบนโลกออนไลน์ (Virtual Patients)
โดยเฉลี่ยแล้ว ปัจจุบันยารักษาแต่ละตัวใช้เวลามากถึง 12 ปีในการพัฒนาจาก lab มาถึงการใช้ในมนุษย์ การพัฒนาของเทคโนโลยีทางการแพทย์นั้น จะมาช่วยพัฒนาประสิทธิภาพการตรวจสอบประสิทธิภาพของยา หรือ วัคซีนได้รวดเร็วมากขึ้น ตัวอย่างเช่น การพัฒนา virtual organs หรือ อวัยวะเสมือน ซึ่งสามารถใช้ในการตรวจสอบประสิทธิภาพของยาหรือวัคซีนได้ทันที แทนที่จะรอตรวจสอบในอวัยวะของมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่จริง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงและลดต้นทุนในการทำวิจัยยาหรือวัคซีนได้
ตัวอย่างนวัตกรรม: HeartFlow Analysis
- แพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถตรวจหาโรคหลอดเลือดหัวใจได้โดยใช้ภาพ CT scan และปพลตฟอร์มนี้ได้รับการยอมรับจาก FDA หรือ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ยังเป็นอุปสรรคในการใช้เทคโนโลยีนี้นั้น คือการพัฒนา mathematical models และ medical database ที่ใหญ่มากพอ และผ่านการรับรอง เพื่อใช้ทดแทนอวัยวะจริง ซึ่งยังคงต้องใช้เวลาอยู่พอสมควร
4. คอมพิวเตอร์เชิงพื้นที่ (Spatial Computing)
Spatial Computing นั้น จะทำให้การเคลื่อนที่ของสิ่งของต่าง ๆ ถูกเชื่อมต่อกันได้ผ่าน clouds ทั้งหมด ซึ่งเทคโนโลยีนี้เปรียบเสมือนกับเป็นการ upgrade การทำงานของ virtual reality และ augmented reality
สามารถนำไปใช้ได้ในหลายหลาย industry โดยเฉพาะด้านสาธารณสุข โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาผู้ป่วย
หากท่านลองจินตนาการเหตุการณ์ที่มีผู้ป่วยฉุกเฉิน ต้องการการผ่าตัดด่วน Spatial Computing นั้นจะสามารถส่งข้อมูลประวัติผู้ป่วยได้ทันที เคลื่อนย้ายสิ่งของออกจากทางที่ต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วย สั่งการให้ลิฟท์ และประตูเปิดเพื่อรับผู้ป่วยเข้าห้องผ่าตัดได้ทันที และช่วยให้แพทย์สามารถแพลนการผ่าตัดได้ล่วงหน้า
นอกจากนี้ เทคโนโลยีนี้จะเข้ามาช่วยในอุตสาหกรรม โดยสามารถช่วยส่งเสริมความปลอดภัยและประสิทธิภาพการทำงานในโรงงาน โดยบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft และ Amazon ได้มีการลงทุนในเทคโนโลยีนี้มาอย่างต่อเนื่อง
5. การแพทย์ดิจิทัล
เทคโนโลยีที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด จะเข้ามาช่วยส่งเสริมการเข้าถึงการรักษา การพัฒนา software หรือ application ต่าง ๆ นอกจากจะช่วยแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว ยังสามารถนำมาช่วยเหลือผู้ป่วยที่อยู่ห่างไกลหรือขาดแคลนแพทย์ในพื้นที่ได้อีกด้วย
ตัวอย่างนวัตกรรมที่ได้เกิดขึ้นแล้ว:
- Smart Watch: เทคโนโลยีที่มีศักยภาพมากมายในเครื่องที่มีขนาดเล็กพกพาง่าย เหมือนใส่นาฬิกาข้อมือ ซึ่งนอกจากเราจะสามารถคุยโทรศัพท์ หรือ ฟังเพลงผ่านนาฬิกาข้อมือนี้ได้แล้วนั้น ยังสามารถ track การเต้นของหัวใจ และ location ของคุณหรือคนที่คุณรักได้อีกด้วย ซึ่งนวัตกรรมนี้ทำให้สามารถติดตามผู้ป่วยได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- Pear Therapeutics reSET technology: เทคโนโลยีการบำบัดพฤติกรรม 12 สัปดาห์ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็น technology-based treatment สำหรับผู้ป่วยที่ป่วยจาก Opioid Use Disorder เพื่อเพิ่ม engagement ในผู้บำบัด
- Luminopia: startup ที่ก่อตั้ง VR application เพื่อช่วยรักษาโรค amblyopia หรือ โรคตาขี้เกียจ ในเด็ก โดยการพัฒนาเทคโนโลยีผ่านการใช้ VR headset เพื่อช่วยบำบัดเด็กที่ป่วยจากโรคตาขี้เกียจ ทำให้สามารถบำบัดได้จากที่บ้าน ช่วยลดเวลาในการบำบัด และเพิ่มความสะดวกสบาย
แน่นอนว่า ภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จะมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ที่ถูกผลิตออกมาอีกมากมายเพื่อพัฒนาการรักษาทางการแพทย์ให้สามารถช่วยผู้ป่วยห่างไกลได้มากขึ้น
ขอบคุณข้อมูล : Disruptignite
อ่านบทความเพิ่มเติม : RANKING