

ในโลกที่ยังเผชิญกับความขัดแย้งระดับภูมิภาคและภัยคุกคามข้ามชาติอย่างต่อเนื่อง “พลังทางทหาร” ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกต้องให้ความสำคัญ ไม่ใช่เพียงเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน แต่ยังรวมถึงการยกระดับอิทธิพลของตนบนเวทีโลก การเจรจาระหว่างประเทศ และการดูแลผลประโยชน์ทางการค้าและทรัพยากรที่สำคัญ
การจัดอันดับ “กองทัพที่ทรงพลังที่สุดในโลกปี 2025” โดย Global Firepower ได้สะท้อนภาพภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีความตึงเครียดสูง เช่น เอเชียใต้และคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งประเทศที่มีพรมแดนติดกับคู่กรณีในประวัติศาสตร์อย่างอินเดีย-ปากีสถาน หรือเกาหลีใต้-เกาหลีเหนือ ต่างต้องเร่งเสริมแสนยานุภาพเพื่อเป็นเกราะป้องกันภัยคุกคามภายนอก
ในฐานะกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ด้วยงบประมาณด้านกลาโหมที่ใหญ่ที่สุด การมีฐานทัพกระจายอยู่ทั่วโลก และเทคโนโลยีล้ำสมัย ตั้งแต่เรือบรรทุกเครื่องบินไปจนถึงขีปนาวุธและกำลังรบทางไซเบอร์ นอกจากนี้ ความร่วมมือผ่านพันธมิตรอย่าง NATO ยังช่วยเสริมความสามารถในการฉายอำนาจทางทหารของสหรัฐฯ ได้อย่างไร้ข้อกังขา
ที่ยังรักษาขนาดกำลังพลขนาดใหญ่และคลังแสนยานุภาพนิวเคลียร์ไว้ได้อย่างมั่นคง แม้จะเผชิญแรงกดดันด้านเศรษฐกิจ รัสเซียยังคงเดินหน้าปรับปรุงอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยเฉพาะในด้านปืนใหญ่ ระบบขีปนาวุธ และกำลังรบทางภาคพื้นดินที่แข็งแกร่ง
โดยกลายเป็นขุมพลังทางทหารที่มีบทบาทสูงในเอเชีย ด้วยการพัฒนาทั้งกองทัพเรือ ระบบขีปนาวุธ และไซเบอร์วอร์แฟร์อย่างต่อเนื่อง งบประมาณกลาโหมที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดสะท้อนถึงความตั้งใจของจีนในการท้าทายอิทธิพลทางทหารของโลกตะวันตกในระยะยาว
ก้าวขึ้นมาอยู่อันดับ 4 อย่างน่าจับตา โดยใช้จุดแข็งด้านกำลังคนที่มีจำนวนมหาศาล ผสานกับยุทธศาสตร์การพัฒนาอาวุธในประเทศและการฝึกร่วมระหว่างเหล่าทัพ อินเดียยังมีขีดความสามารถในการทำสงครามในพื้นที่สูง และขีปนาวุธนิวเคลียร์ที่เสริมความลึกเชิงยุทธศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งมีโครงสร้างกองทัพที่ทันสมัยและระเบียบวินัยสูง พร้อมตอบโต้ภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือได้ทันท่วงที ความร่วมมือกับสหรัฐฯ และการพัฒนาอุตสาหกรรมอาวุธในประเทศช่วยให้เกาหลีใต้รักษาความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
ขอบคุณข้อมูล : ฐานเศรษฐกิจ
อ่านบทความและข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมจากเรา : RANKING5